วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ครูในดวงใจ



ประวัติส่วนตัว

ชื่อ-สกุล :  นางส่อฝิหย๊ะ     พิทักษ์คุมพล
ที่อยู่ :  152   ม. 7   ต. หน้าสตน   อ. หัวไทร   จ.  นครศรีธรรมราช  80170
อายุ :   35   ปี     สถานภาพ   :  สมรส    บุตร: 3 คน
ประวัติการศึกษา :  ม.6   โรงเรียนมุสลิมสันติธรรมมูลนิธิ
      ปริญญาตรี  ครุศาสตรบัณฑิต  สาขาการศึกษาปฐมวัย
สถานที่ทำงาน : โรงเรียนบำรุงวิทยา    อ. หัวไทร   จ.  นครศรีธรรมราช  80170
ประสบการณ์การสอน : 16 ปี
ความภาคภูมิใจ : ได้รับรางวัล หนึ่งแสนครูดี ประจำปี 2557 จากคุรุสภา
ปรัชญาการใช้ชีวิต : ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

บทสัมภาษณ์

1.จุดประกายความฝันของการเป็นครู คืออะไร ?
- จุดประกายความฝันของการเป็นครู คือ อยากเห็นเด็กๆมีความรู้ ก้าวข้ามจากความไม่รู้ และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข

2.ถ้าไม่ได้เรียนครูในตอนนั้นอาชีพที่อยากทำคืออะไร ?
- หากไม่ได้เรียนครูในตอนนั้นอาชีพที่ใฝ่ฝัน ณ ตอนนั้น คือ อยากมีร้านกาแฟและเบเกอรี่เล็กๆ มีมุมหนังสือให้ลูกค้าได้เข้ามาอ่าน นอกจากกาแฟและเบเกอรี่แล้ว ลูกค้ายังได้ความรู้และได้ผ่อนคลายจากการอ่านหนังสือประเภทต่างๆอีกด้วย

3. เพราะอะไรจึงอยากเป็นครูปฐมวัย ?
-คิดว่าการได้สอนตั้งแต่วัยเริ่มต้นของชีวิตเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถ อีกทั้งยังฝึกให้เราอดทนต่อสิ่งต่างๆ โดยเฉพาเด็กตัวเล็กๆ ที่เขายังไม่ประสีประสา บางคนทำอะไรไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้ ครูปฐมวัยนี่แหละที่ต้องคอยฝึกหัดให้เขาได้ทำ ได้รียนรู้ ถึงแ้ว่าครูปฐมวัยจะเป็นคนแรกที่เด็กคนนั้นจะนึกถึงมื่อขาเติบโตแต่เราก็รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นครูคนแรกของเขา

4. ทำไมจึงเลือกที่จะเป็นครูเอกชน ในเมื่อมีทางเลือกต่างๆอีกมากมาย ?
-การเป็นครูไม่จำเป็นว่าเราจะต้องคาดหวังว่าจะเป็นครูรัฐบาลเสมอไปเพราะบทบาทและหน้าที่ของครู ไม่ว่าจะเป็นครูรัฐบาลหรือครูเอกชน ย่อมมีบทบาทหน้าที่เหมือนกัน ขอแค่เราทำหน้าที่ความเป็นครูของราให้ดีที่สุด และไม่ว่าจะเป็นครูรัฐบาลหรือครูเอกชน เราก็มีความสุขกับการเป็นครูของเรา

5. ประสบการณ์ การสอนครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง ?
- รู้สึกตื่นเต้นและกังวลว่าเราจะทำได้หรือไม่ แต่เมื่อได้เจอกับเด็กๆจริงๆความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราได้วางแผนการสอนมาอย่างดีแล้วก็ไม่ต้องกังวลใดๆ เพียงแต่ต้องรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการสอนก็เท่านั้น

6. ท่านมีความคิดอย่างไร ที่เลือกมาสอน ศาสนาฟัรดูอีนย์ เสาร์-อาทิตย์ ควบคู่กับสอนสามัญ จันทร์-ศุกร์ ?
-เพราะความรู้หากเรารู้แต่ไม่ได้นำมาถ่ายทอดเก็บไว้กับตัวเอง มันก็คงไม่ต่างไปจากมีดที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ เก็บเอาไว้แต่ในตู้ไม่ได้นำมาลับ  สักวันหนึ่งมีดหล่านั้นก็จะหั่นอะไรไม่ได้ ตัดสิ่งใดก็ไม่ขาด ฉันใดก็ฉันนั้น  ความรู้ของเราก็เหมือนกัน หากไม่นำมาใช้ ไม่นำมาสอนคนมันก็จะเป็นความรู้ที่ไม่มีปรโยชน์อันใดเลย  และยิ่งเราได้สอนคนมันก็เท่ากับทำให้ความรู้ไม่ตายไปจากเรา ซ้ำยังได้ต่อยอดความรู้ใหม่เข้ามาด้วย  ดังนั้นการสอนศาสนาฟัรดูอีนย์ เสาร์-อาทิตย์  ครูจึงต้องสอนมันมาเรื่อยๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ต้องการเห็นเด็กๆในหมู่บ้านมีความรู้เรื่องศาสนาด้วย

7. ท่านเหนื่อยหรือไม่ที่จะต้องทำงานถึง 7 วัน ไม่มีวันหยุดเหมือนคนอื่น ?
-หากถามว่าเหนื่อยไหม เราก็แค่ปุถุชนคนธรรมดา ก็ต้องตอบว่าเหนื่อย แต่ในคำว่าเหนื่อยนั้น เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่เรารักแล้ว ต่อให้เหนื่อยเราก็มีความสุข เพราะมันเป็นสิ่งที่เรารัก เราก็ทำได้ทุกอย่าง

8. ท่านมีวิธีการพัฒนาการสอนอย่างไรให้ทันยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ?
-  1) ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวทางการศึกษา
  2) สอบถามจากผู้รู้
  3) เข้าร่วมอบรมสัมนาจากหน่วยงานต่างๆ
  4) เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง และกล้าที่จะก้าวออกจากจุดเดิมที่เราเคยทำเพื่อให้ทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

9. ท่านมีความเห็นอย่างไร กับประโยคที่ว่า "ครูบางคนสอนได้แต่สอนไม่เป็น" ?
-การที่ครูบางคนสอนได้แต่สอนไม่เป็น เป็นเพราะครูเหล่านั้นขาดทักษะและการพัฒนาอย่างเป็นกระบวนการ ที่สำคัญคือ ไม่ยอมก้าวจากจุดเดิมที่ตนเคยทำ คิดว่าสิ่งที่ตนทำอยู่นั้นถูกต้องแล้ว  ดีแล้ว ก็เลยไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีการสอน  ที่สำคัญคือไม่ปรับวิธีคิดของตน เราจึงเห็นว่าผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กไทย ด้อยกว่าหลายๆประเทศในอาเซียน

10. ท่านมีวิธีการอย่างไรบ้าง เพื่อดึงดูดให้นักเรียนสนใจการเรียนและการอ่าน ?
- 1) มีแผนการสอนแบบ PDCA
  2) จัดรูปแบบการสอนที่หลากหลาย
  3) มีสื่อการสอนที่ตรงกับหน่วยการสอนและทันต่อยุคสมัย
  4) ครูต้องรู้จักเร้าความสนใจของผู้เรียนและเป็นแบบอย่างให้กับผู้เรียนในทุกๆด้าน ดังคำกล่าวที่ว่า "ทำให้ดู ย่อมดีกว่าสอนให้ทำ"

11. สุดท้ายขอให้ท่านฝากอะไรเล็กๆน้อยๆ ให้แก่นักศึกษา วิชาชีพครู ?
-อยากให้ทุกคนมีความภาคภูมิใจที่เลือกรียนครูและเป็นครู อย่าคิดว่าเพราะฉันสอบอะไรไม่ได้ ไม่มีงานให้ฉันทำ ฉันเป็นครูดีกว่า ถ้าคิดอย่างนั้นถือว่าคุณคิดผิด เพราะคุณจะไม่มีความสุขกับการรียนและการทำงานของคุณเลย ขอให้ตระหนักอยู่เสมอว่า การทำหน้าที่ให้คนคนหนึ่งพ้นจากความไม่รู้นั้นคือภาระหน้าที่อันสำคัญของครูและนอกเหนือจากงานสอนแล้ว ภาระงานของครูก็หลากหลาย เช่น งานประจำชั้น งานประจำวัน งานฝ่าย และอื่นๆหากเราไม่รักที่จะไม่เป็นครูแล้ว เราก็จะไม่มีความสุขกับมัน ผลที่ได้คืองานที่ออกมาก็จะไม่มีปรสิทธิภาพ ขาดประสิทธิผล




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น